บันทึกอนุทินครั้งที่ 3
วิชาการจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย(EAED3207)
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์จินตนา สุขสำราญ
วัน / เดือน / ปี 4 กันยายน 2557
ความรู้ที่ได้รับ
รูปแบบการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม มนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อดำรงชิวิต
การเรียนรู้ของเด็ก คือ การลงมือกระทำซึ่งเรียกว่าการเล่นแบบไม่เป้นทางการที่จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เครื่องมือที่เด็กใช้ในการเล่นคือ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ลงมือกระทำกับวัตถุอยากเป็นทางการและไม่เป็นทาการ
คุณลักษณะตามวัยของเด็กอายุ 3 – 5 ปี
ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.
2546 มีดังนี้
เด็กอายุ 3
ปี
|
เด็กอายุ 4
ปี
|
เด็กอายุ 5
ปี
|
พัฒนาการด้านร่างกาย
·
วิ่งและหยุดโดยไม่ล้ม
·
รับลูกบอลด้วยมือและลำตัว
·
เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้
·
เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
·
ใช้กรรไกรมือเดียวได้
·
วาดและระบายสีอิสระได้
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
·
แสดงอารมณ์ตามความรู้สึก
·
ชอบที่จะทำให้ผู้ใหญ่พอใจและได้คำชม
·
กลัวการพลัดจากผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดน้อยลง
พัฒนาการด้านสังคม
·
รับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง
·
ชอบเล่นแบบคู่ขนาน (เล่นของเล่นชนิดเดียวกันแต่ต่างคนต่างเล่น)
·
เล่นสมมติได้
·
รู้จักรอคอย
|
พัฒนาการด้านร่างกาย
·
กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ได้
·
รับลูกบอลได้ด้วยมือทั้งสอง
·
เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้
·
เขียนรูปสีเหลี่ยมตามแบบได้
·
ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้
·
กระฉับการเฉยไม่ชอบอยู่เฉย
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
·
แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับบางสถานการณ์
·
เริ่มรู้จักชื่นชมความสามารถและผลงานของตนเองและผู้อื่น
·
ชอบท้าทายผู้ใหญ่
·
ต้องการให้มีคนฟังคนสนใจ
พัฒนาการด้านสังคม
·
แต่งตัวได้ด้วยตนเอง
ไปห้องส้วมได้เอง
·
เล่นร่วมกับผู้อื่นได้
รอคอยตามลำดับก่อน – หลัง
·
แบ่งของให้คนอื่น
·
เก็บขอบเล่นเข้าที่ได้
|
พัฒนาการด้านร่างกาย
·
กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้
·
รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือทั้งสอง
·
เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว
·
เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
·
ตัดกระกาษตามแนวเส้นโค้งที่กำหนด
·
ใช้กล้ามเนื้อเล็กได้ดี เช่น
ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า ฯลฯ
·
ยืดตัว คล่องแคล่ว
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
·
แสดงอารมณ์ได้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม
·
ชื่นชมความสามารถและผลงานของตนเองและผู้อื่น
·
ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางน้องลง
พัฒนาการด้านสังคม
·
ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง
·
เล่นหรือทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกับผู้อื่นได้
·
พบผู้ใหญ่ รู้จักไหว้
ทำความเคารพ
·
รู้จักขอบคุณ เมื่อรับของจากผู้ใหญ่
·
รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
|
เด็กอายุ 3
ปี
|
เด็กอายุ 4
ปี
|
เด็กอายุ 5
ปี
|
พัฒนาการด้านสติปัญญา
·
สำรวจสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกันและต่างกันได้
·
บอกชื่อของตนเองได้
·
ขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
·
สนทนาโต้ตอบ / เล่าเรื่องด้วยประโยคสั้น ๆ ได้
·
สนใจนิทานและเรื่องราวต่าง ๆ
·
ร้องเพลง ท่องคำกลอน คำคล้องจองง่าย ๆ และแสดงท่าทางเลียนแบบได้
·
รู้จักใช้คำถาม “อะไร”
·
สร้างผลงานตามความคิดของตนเองอย่างง่าย
ๆ
·
อยากรู้อยากเห็นทุกอย่างรอบตัว
|
พัฒนาการด้านสติปัญญา
·
จำแนกสิ่งต่าง ๆ
ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าได้
·
บอกชื่อและนามสกุลของตนเองได้
·
พยายามแก้ปัญหาด้วยตนเองหลังจากได้รับคำชี้แนะ
·
สนทนาโต้ตอบ / เล่าเรื่องเป็นประโยคอย่างต่อเนื่อง
·
สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
·
รู้จักใช้คำถาม “ทำไม”
|
พัฒนาการด้านสติปัญญา
·
บอกความแตกต่างของกลิ่น สี เสียง
รส รูปร่าง
จำแนกและจัดหมวดหมู่สิ่งของได้
·
บอกชื่อ นามสกุล
และอายุของตนเองได้
·
พยายามหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง
·
สนทนาโต้ตอบ / เล่าเป็นเรื่องราวได้
·
สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นและแปลกใหม่
·
รู้จักใช้คำถาม “ทำไม” “อย่างไร”
·
เริ่มเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม
·
นับสิ่งต่าง ๆ จำนวนมากกว่า 10
ได้
|
ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย
- พอใจคนที่ตามใจ
- มีช่วงความสนใจสั้น (8 - 10 )
- สนใจนิทานและเรื่องราวต่างๆ
- อยากรู้อยากเห็นทุกอย่างรอบตัว
- แสดงท่าทงเลียนแบบ
- ชอบที่จะทำให้ผู้ใหญ่พอใจและได้รับคำชม
- ชอบถาม ทำไม ตลอดเวลา
- ช่วยตนเองได้
- ชอบเล่นแบบคู่ขนาน
- พูดประโยคยาวขึ้น
สรุปหลักการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย
- พัฒนาเด็กให้ครบทุกพัฒนาการ
- การเรียนรู้จากการคิดและการปฏิบัติจริง
- เรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
- พัฒนาทักษะการสังเกตุ
การประยุกต์ใช้
นำไปประยุกต์ใช้ในการสอนเกี่ยวกับวิทยาศาสร์สำหรับเด็กปฐมวัยได้ในอนาคต
การประเมินหลังเรียน
ตนเอง = วันนี้เข้าเรียนตรงตอเวลา แต่งกายถูกระเบียบตั้งใจฟังอาจาย์บรรยาย
เพื่อน = ตั้งใจเรียนฟังที่อาจารย์บรรยายให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
อาจารย์ = บรรยายพร้อมยกตัวอย่าง ร่วมกันอภิปรายกับนักศึกษาทำให้การสอนของอาจารย์เข้าใจงายมากขึ้น
ร่วม
บทความ
5 แนวทางสอนคิด เติม"วิทย์"ให้เด็กอนุบาล
วิทยาศาสตร์เป็นยาขมสำหรับเด็ก ๆ จริงหรือ ? ถ้าเด็ก
ๆ เรียนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจะยากเกินไปไหม ? ควรจะให้เด็ก
ๆ อนุบาลเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างไร ? คำถามเหล่านี้ต่างพ่อแม่ผู้ปกครอง
และแม้แต่คุณครูเองก็ยังสงสัยอยู่
แท้จริงแล้ววิทยาศาสตร์คือความพยายามของมนุษย์ที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งรอบตัวและตัวตนของตนเอง
ซึ่งความพยายามเช่นนี้จะติดตัวกับมนุษย์เรามาตั้งแต่แรกเกิด
เห็นได้จากธรรมชาติของเด็กที่มีความอยากรู้อยากเห็น
ช่างสังเกตและคอยซักถามเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาเจอ
และบางครั้งก็เป็นคำถามที่ยากเกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะให้คำตอบ
ผู้ใหญ่หลายคนที่ไม่เข้าใจในธรรมชาติความเป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวน้อยๆ
ของเด็ก จึงปิดกั้นโอกาสทางการเรียนรู้ของพวกเขาโดยการไม่ให้ความสนใจกับคำถามและการค้นพบแบบเด็กๆ
หรือไม่ได้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่จะส่งเสริมและต่อยอดทักษะและแนวคิดที่ถูกต้องให้กับเด็กอย่างเหมาะสม
ซึ่งนั่นทำให้การพัฒนาทักษะของเด็กต้องขาดตอนไปอย่างน่าเสียดาย
ดร. วรนาท รักสกุลไทย นักการศึกษาปฐมวัย ผู้อำนวยการโรงเรียนเกษมพิทยา (ฝ่ายอนุบาล) กล่าวว่า
"เราคงทราบดีกันอยู่แล้วว่าวิทยาศาสตร์มีความสำคัญเพียงใด
แต่สำหรับเด็กอนุบาล แนวทางการสอนต่างหากที่จะทำให้เด็กสนใจ
สิ่งสำคัญที่สุดคือครูต้องแม่นยำในพัฒนาการของเด็ก เพื่อที่จะสามารถจัดการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับความสามารถของเด็ก
รวมถึงต้องอย่าลืมเรื่องจินตนาการที่มีอยู่สูงในเด็กวัยนี้"
ทั้งนี้
การส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยในด้านวิทยาศาสตร์นั้น
อาจไม่จำเป็นต้องแยกออกมาสอนเป็นวิชาวิทยาศาสตร์
และอาจไม่ต้องกล่าวคำว่าวิทยาศาสตร์เมื่อให้เด็กทำกิจกรรมเลยด้วยซ้ำ
เพียงแต่ครูปฐมวัยควรจะตระหนักรู้ว่ากิจกรรมที่จัดให้กับเด็กในแต่ละช่วงเวลานั้น
เป็นการส่งเสริมทักษะและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์อะไรให้กับเด็กๆ
และควรจะจัดกิจกรรมอย่างไรเพื่อจะสามารถตอบสนองและต่อยอดธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างเป็นระบบ
ดร.เทพกัญญา
พรหมขัติแก้ว นักวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์ประถมศึกษา
สสวท. กล่าวถึงแนวทางในการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กอนุบาลว่า "แนวทางของ
สสวท.คือต้องการให้คุณครูบูรณาการวิทยาศาสตร์เข้าไปในการเรียนการสอนปกติของเด็ก ๆ
ซึ่งครูและนักการศึกษาปฐมวัยอาจจะมีคำถามว่า
จะต้องแยกวิทยาศาสตร์ออกมาเป็นอีกวิชาหนึ่งไหม จริง ๆ คือไม่ต้อง
เพราะการเรียนรู้ในระดับปฐมวัยจะเน้นการเรียนรู้แบบองค์รวม ไม่ต้องแยกเป็นวิชา
เพราะวิทยาศาสตร์คือกระบวนการการเรียนรู้ อยากให้คุณครูมองว่า
มันคือการเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัวของเด็กๆ"
"สำหรับปัญหาที่พบในขณะนี้ก็คือ
บางครั้งเด็กมีคำถาม แล้วครูตอบไม่ได้ เพราะเราก็ต้องเข้าใจครูปฐมวัยด้วยว่า
อาจไม่มีพื้นฐานในสายวิทย์มากนัก
ดังนั้นเมื่อครูเกิดตอบคำถามเด็กไม่ได้ก็จะเกิดหลายกรณีตามมา เช่น ครูบอกเด็กว่า
เธออย่าถามเลย เด็กก็ถูกปิดกั้นการเรียนรู้ไปเสียอีก กับอีกแบบคือ ครูตอบคำถามเด็ก
ซึ่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ควรจะเป็นการเรียนรู้ไปด้วยกัน
ให้เด็กหาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอให้ครูหามาป้อน และถ้าครูตอบผิด
เด็กก็อาจจำไปผิด ๆ ได้"
นอกจากนี้ ดร.เทพกัญญา
ยังได้ให้แนวทางในการ "สืบเสาะความรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก"
อันประกอบแนวทางปฏิบัติ 5 ข้อดังนี้
1. ตั้งคำถามที่เด็กสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง เช่น คำถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว หรือโลกของเรา
2. ออกไปหาคำตอบด้วยกัน เนื่องจากคำถามในระดับเด็กอนุบาลมักจะเปิดกว้าง
ดังนั้นการค้นหาคำตอบอาจมีครูคอยช่วยจัดประสบการณ์ให้เด็กตามที่เขาตั้งขึ้น
3. เมื่อขั้นสองสำเร็จ
เด็กจะเอาสิ่งที่เขาค้นพบมาไปตอบคำถามของเขาเอง ในขั้นนี้คุณครูอาจช่วยเสริมในแง่ของความครบถ้วนสมบูรณ์
หรือในด้านของเหตุและผล
4. นำเสนอสิ่งที่เขาสำรวจตรวจสอบมาแล้วให้กับเพื่อน
ๆ
5. การนำสิ่งที่เด็กค้นพบคำตอบนั้นไปเชื่อมโยงกับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์
สำหรับข้อ 5 นั้น ดร.เทพกัญญากล่าวว่า
ในระดับเด็กอนุบาลอาจยังไม่สามารถก้าวไปถึงจุดนั้นได้ อาจต้องเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาขึ้นไป
แต่คุณครูก็ไม่ควรละเลย หากมีเด็กอนุบาลบางคนเข้าใจ
คุณครูก็อาจช่วยให้เขาสามารถอธิบายได้แบบวิทยาศาสตร์
แต่ถ้าไม่ถึงก็ไม่จำเป็นต้องเคี่ยวเข็ญเด็ก ๆ แต่อย่างใด
ไม่เพียงแต่คุณครูและโรงเรียนที่จะเป็นผู้ส่งเสริมทักษะด้านวิทยาศาสตร์ให้กับเด็ก
ๆ แต่พ่อและแม่เองนั้นก็มีบทบาทมากเช่นกัน แนวทางดี ๆ ข้างต้น
อาจเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้เด็ก ๆ และครอบครัวในยุคต่อไปเข้าใจ และรักใน
"วิทยาศาสตร์" ได้มากขึ้นก็เป็นได้
การสรุปความรู้เหมือนๆกับเพื่อนอาจทำให้ครูต้องพิจารณาว่าการให้คะแนนต้องหารเฉลี่ยใช้ข้อมูลของตนเองและเนื่อหาของคุณลักาณะตามวัยไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญต้องเอามานำเสนอทั้งหมด นะคะทำให้ความสำคัญส่วนอื่นๆหายไปเกือบหมด ใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะใช้เทคโลโลยีหรือเครื่องมืออื่นๆในการนำเสนองานบ้างนะคะ
ตอบลบในส่วนของบทความ ครูให้คุณLink บทความและเขียนารุปลงในBlog เพื่อเตรียมมานำเสนอไม่ได้หมายความว่าต้องCopyมาทั้งหมดและไม่มีการสรุปจากการอ่านซึ่งการสรุปเป็นทักษะเพื่อให้คุณจับใจความสำคัญนะคะ